เมื่อเราพูดถึงดาวเคราะห์วงนอกหรือ Outer Planets ได้แก่ เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน และพลูโต เรากำลังพูดถึงจังหวะที่ช้า หนักแน่น และลึกซึ้งเกินกว่าชีวิตบุคคลหนึ่งจะสัมผัสได้ทั้งหมด ดาวเคราะห์เหล่านี้เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ใช้เวลาหลายสิบปีไปจนถึงกว่าร้อยปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้พลังของมันไม่ได้สะท้อนเพียงบุคคลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนเป็นยุค เป็นสมัย และเป็นการเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ที่สั่นสะเทือนทั้งโลก พลังเหล่านี้คือจังหวะใหญ่ที่กำหนดธีมของมวลมนุษยชาติ และเราทุกคนต่างเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่ถักทออยู่ในจังหวะเหล่านั้น
เสาร์คือสัญลักษณ์ของโครงสร้าง ข้อจำกัด และกฎเกณฑ์ ยูเรนัสคือการปฏิวัติ การปลดปล่อย และการทลายกรอบ เนปจูนคือการหลอมรวม ความฝัน และอุดมคติ ขณะที่พลูโตคือพลังแห่งความตายและการเกิดใหม่ เมื่อดาวเหล่านี้ทำมุมสัมพันธ์กัน โลกก็จะสะท้อนอาร์คีไทป์นั้นออกมาอย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบของวิกฤติ การค้นพบ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มนุษยชาติไม่อาจหวนกลับไปเป็นเช่นเดิมได้อีก
วงจรของเสาร์ – พลูโตเป็นหนึ่งในจังหวะที่ทรงพลังที่สุด ทุกครั้งที่ทั้งสองมาบรรจบหรือทำมุมตึงเครียดกัน มักเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ในโลก ปี 1914 เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอุบัติขึ้น โลกได้เห็นโครงสร้างเก่าของจักรวรรดิพังทลาย ปี 1947 หลังสงครามโลกครั้งที่สองโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นที่แบ่งโลกออกเป็นสองขั้ว อีกครั้งในปี 2020 เมื่อเสาร์–พลูโตร่วมกัน โลกก็เผชิญการแพร่ระบาดที่บังคับให้ระบบเศรษฐกิจ การเมือง และชีวิตมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างฉับพลัน ทุกครั้งที่เสาร์ – พลูโตโคจรมาบรรจบกัน โลกเหมือนถูกทดสอบว่าจะยืนหยัดหรือจะล้มสลาย และทุกครั้งมนุษย์ก็ต้องสร้างโครงสร้างใหม่เพื่อก้าวต่อไป
วงจรของยูเรนัส – พลูโตก็ทรงพลังไม่แพ้กัน เพราะนี่คือการปะทะกันระหว่างพลังการปลดปล่อยกับพลังการเกิดใหม่ ในทศวรรษ 1960 ทั้งสองทำมุม Square กัน โลกจึงเห็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ดนตรี และสังคมที่ทำลายขนบเดิมและเปิดพื้นที่ให้กับความคิดใหม่ ๆ ขบวนการสิทธิมนุษยชน การต่อต้านสงคราม และการปฏิวัติทางศิลปะ ล้วนเกิดขึ้นในช่วงนี้ พลังของยูเรนัส – พลูโตเปรียบเหมือนไฟที่โหมไหม้ มันไม่เพียงทำลาย แต่ยังสร้างพื้นที่ใหม่ให้สิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
เนปจูน – ยูเรนัสก็เป็นวงจรที่สะท้อนถึงความฝันร่วมกันของมนุษยชาติ ทั้งการสร้างอุดมคติใหม่ การผสมผสานศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ในช่วงที่ทั้งสองทำมุมกัน เรามักเห็นการเกิดขึ้นของขบวนการที่มองโลกด้วยสายตาที่กว้างไกลกว่าเดิม แม้บางครั้งความฝันเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยความเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริง แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยกระดับจิตสำนึกของสังคม
พฤหัสซึ่งแม้ไม่ใช่ดาวนอกที่โคจรช้ามากนัก แต่เมื่อมาสัมพันธ์กับยูเรนัสก็มักทำให้เกิดการค้นพบและการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด หลายครั้งที่วิทยาการใหม่ ๆ หรือการปฏิวัติทางความคิดเกิดขึ้นในช่วงจังหวะนี้ มันคือพลังแห่งการเปิดประตูใหม่ของมนุษยชาติ
วงจรของดาวเคราะห์นอกทั้งหมดจึงเป็นเหมือนหัวใจที่เต้นช้าและหนักแน่นของจักรวาล ทุกจังหวะที่มันบีบตัวหรือคลายตัว โลกก็สะท้อนออกมาเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ที่เราทุกคนต้องมีส่วนร่วม แม้บางครั้งเราจะรู้สึกว่าเป็นเพียงปัจเจกเล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วเรากำลังเดินไปในเส้นทางเดียวกับมวลมนุษยชาติ ทุกการเปลี่ยนแปลงที่โลกเผชิญก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เราเผชิญภายในเช่นกัน
เมื่อเข้าใจวงจรของดาวเคราะห์นอก เราจะไม่มองเหตุการณ์ใหญ่ในโลกเป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือหายนะ แต่จะเห็นว่ามันคือบทเรียนอาร์คีไทป์ที่จักรวาลมอบให้มนุษยชาติเรียนรู้ร่วมกัน มันคือการเตือนว่าไม่มีสิ่งใดคงที่ โครงสร้างที่แข็งแรงที่สุดก็ต้องถูกทดสอบ ความฝันที่สูงสุดก็ต้องถูกขัดเกลา และพลังการปฏิวัติที่รุนแรงที่สุดก็มีไว้เพื่อเปิดทางสู่การเกิดใหม่ วงจรเหล่านี้คือการเต้นรำของจักรวาลที่สอดคล้องกับการเดินทางของวิญญาณมนุษย์ทั้งมวล
“บันทึกฟ้าแผนภูมิดวงชะตาส่วนบุคคล
The Akashic Personal Horoscope Chart”
Line : @horomagick
>> https://lin.ee/E6cTL1k
หมายเหตุ:
ข้อความและรูปภาพบนเว็บไซต์นี้ ห้ามนำไปใช้ซ้ำหรือเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
