ในทุกยุคสมัย มนุษย์พยายามค้นหาภาษาเพื่อสื่อสารกับจักรวาล ภาษาแรกที่เราเรียนรู้คือเสียงและสัญลักษณ์ดั้งเดิม เรามองท้องฟ้าแล้วจินตนาการเป็นเทพเจ้าและเรื่องเล่า ต่อมาวิทยาศาสตร์สร้างภาษาของสมการ คณิตศาสตร์ และการทดลองเพื่ออธิบายสิ่งที่ตาเห็นได้ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวลึกลงไปถึงระดับอนุภาค มันกลับพบว่าความจริงไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาเชิงเส้นตรงที่ตายตัวอีกต่อไป โลกควอนตัมเผยให้เห็นว่าทุกสิ่งดำรงอยู่เป็นความน่าจะเป็น คลื่นที่ซ้อนกัน และความจริงที่ต้องอาศัยผู้สังเกตจึงจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน โหราศาสตร์ที่ถูกเก็บรักษามานับพันปีก็บอกเราว่า ชีวิตมิใช่เส้นตรง แต่คือการเต้นรำระหว่างมนุษย์กับดวงดาว ซึ่งสะท้อนรูปแบบพลังงานที่กำลังคลี่คลายไปตามกาลเวลา
เมื่อสองโลกนี้เริ่มหันหน้ามาพบกัน จึงเกิดความพยายามที่จะสร้างภาษาใหม่ ที่หลอมรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน ภาษาใหม่ที่ไม่ลดทอนโหราศาสตร์เหลือเพียงความเชื่อ และไม่ลดทอนฟิสิกส์ควอนตัมเหลือเพียงสมการไร้ชีวิต ภาษาใหม่นั้นคือ Quantrology — วิชาที่เกิดจากการผสานความเข้มงวดของวิทยาศาสตร์กับความละเอียดอ่อนของโหราศาสตร์เพื่อสร้างรหัสที่บอกเล่าทั้งรูปแบบและความหมาย
Quantrology ถือว่าทุกคนมีรหัสพลังงานที่ไม่ซ้ำกัน เปรียบได้กับเลขควอนตัมของอิเล็กตรอนในอะตอม อิเล็กตรอนแต่ละตัวมีเลขเชลล์ เลขซับเชลล์ เลขแม่เหล็ก และเลขสปิน ซึ่งทำให้มันมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ในทำนองเดียวกัน ดวงชะตากำเนิดของแต่ละคนคือการจัดเรียงรหัสที่ซับซ้อน ทั้งราศีอาทิตย์ ลัคนา ดาวเคราะห์ มุมสัมพันธ์ และเรือนชะตา ทั้งหมดนี้คือ “ตัวเลขควอนตัมของวิญญาณ” ที่บอกว่าเราคือใคร มีศักยภาพอะไร และกำลังเดินทางไปสู่บทเรียนแบบไหน
ความพิเศษของ Quantrology คือมันไม่มองดวงชะตาเป็นคำทำนายตายตัว แต่เป็นสมการความน่าจะเป็นของชีวิต เราไม่ได้ถูกบังคับให้เดินตามรหัสเหล่านี้เหมือนหุ่นยนต์ แต่รหัสเพียงบอกว่าความน่าจะเป็นใดมีมาก ความน่าจะเป็นใดมีน้อย ขณะที่เสรีเจตนาของเราคือผู้เลือกว่าจะทำให้คลื่นใดยุบตัวเป็นความจริง หลักการนี้เชื่อมโยงตรงกับฟิสิกส์ควอนตัมที่บอกว่า อนุภาคไม่ได้มีตำแหน่งแน่นอนจนกว่าจะถูกวัด และการวัดนั้นขึ้นกับการมีอยู่ของผู้สังเกต
การกำเนิดภาษา Quantrology ยังเป็นการปลดล็อกกับดักเก่า ๆ ของทั้งสองโลก วิทยาศาสตร์มักปฏิเสธความหมายเพราะไม่อาจวัดได้ โหราศาสตร์มักปฏิเสธความเข้มงวดเพราะกลัวจะถูกจำกัด แต่ภาษาใหม่นี้ยอมรับทั้งสองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความจริงเดียวกัน เราสามารถเก็บข้อมูลการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์เป็นตัวเลข สถิติ และสมการ พร้อมกันกับการบันทึกความรู้สึก ความฝัน และการเปลี่ยนแปลงภายในของมนุษย์ เมื่อนำข้อมูลสองชั้นนี้มาซ้อนกัน เราจะเริ่มเห็นรูปแบบที่เชื่อมโยงอย่างน่าประหลาด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายด้วยภาษาใดภาษาเดียว
ตัวอย่างที่ง่ายแต่ทรงพลังคือช่วงที่ดาวเสาร์คืนรอบครั้งแรกในวัย 29–30 ปี นักโหราศาสตร์บอกว่าเป็นเวลาที่มนุษย์ต้องเผชิญกับความจริง เรียนรู้ความรับผิดชอบ และเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ หากบันทึกด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นข้อมูลว่า คนจำนวนมากเปลี่ยนงาน แต่งงาน หรือเจอเหตุการณ์สำคัญในช่วงวัยนี้ หากบันทึกด้วยภาษาความหมาย เราจะพบว่าเป็นช่วงที่ผู้คนรู้สึกกดดันแต่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนลึกซึ้ง ภาษา Quantrology จึงสรุปได้ว่า ดาวเสาร์คืนรอบคือการเปลี่ยนรูปของฟังก์ชันคลื่นชีวิตที่บังคับให้คลื่นศักยภาพยุบตัว และการยุบตัวนั้นสะท้อนออกมาในรูปของการเปลี่ยนสถานะทางสังคมและการเติบโตภายใน
การมีภาษาใหม่นี้ทำให้มนุษย์ได้เครื่องมืออ่านชีวิตที่ลึกขึ้น เราไม่ใช่เหยื่อของดวงดาว และก็ไม่ใช่ผู้ควบคุมจักรวาลแต่เพียงผู้เดียว หากแต่เป็นผู้สนทนากับจักรวาล ภาษา Quantrology ทำให้การสนทนานี้ชัดเจนขึ้น เหมือนเราได้รับพจนานุกรมใหม่ที่บรรยายได้ทั้งเสียงและความหมาย ทั้งจำนวนและความรู้สึก ทั้งรูปแบบและเนื้อหา
การกำเนิดภาษาใหม่นี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์กำลังจะไปต่อ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงจักรวาลทั้งด้วยสมการและด้วยหัวใจ เราจะตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดแยกออกจากกัน เราคืออนุภาคเล็ก ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลใหญ่ และจักรวาลใหญ่ก็ก้องสะท้อนอยู่ในหัวใจของเรา ภาษา Quantrology จึงมิใช่เพียงวิชาใหม่ แต่คือสะพานที่ทำให้เราเข้าใจว่า เราและจักรวาลไม่เคยแยกจากกันเลย
“บันทึกฟ้าแผนภูมิดวงชะตาส่วนบุคคล
The Akashic Personal Horoscope Chart”
Line : @horomagick
>> https://lin.ee/E6cTL1k
หมายเหตุ:
ข้อความและรูปภาพบนเว็บไซต์นี้ ห้ามนำไปใช้ซ้ำหรือเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
