เวลาเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยที่สุดแต่กลับเข้าใจยากที่สุด มนุษย์รับรู้เวลาเหมือนเส้นตรงที่มีจุดเริ่มต้นคืออดีต เคลื่อนไปยังปัจจุบัน และไหลสู่อนาคต ทว่าทั้งฟิสิกส์และโหราศาสตร์กลับเผยให้เห็นมิติอีกแบบ เวลามิใช่เส้น แต่เป็นวงคลื่นที่สะท้อน ซ้อนทับ และหวนกลับมาซ้ำ เพื่อให้วิญญาณได้เรียนรู้บทเรียนเดิมในบริบทใหม่
โหราศาสตร์บันทึกการเคลื่อนของดวงดาว ซึ่งเป็นเหมือนเข็มนาฬิกาจักรวาล เมื่อดาวเสาร์ใช้เวลา 29 ปีวนกลับสู่จุดเดิม มันไม่เพียงหมายถึงการแก่ขึ้นของร่างกาย แต่คือการที่วิญญาณถูกเรียกให้หวนกลับมาทบทวนเส้นทางชีวิตที่เริ่มต้นเมื่อครั้งยังเด็ก โลกทางฟิสิกส์เห็นเป็นการโคจรของดาว แต่โลกทางวิญญาณคือการที่ “คลื่นกรรม” ที่เราเคยปล่อยไว้หวนกลับมาแตะสนามของเราอีกครั้ง
เวลาขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและความเร็ว ความจริงนี้ทำให้เวลาในจักรวาลไม่เท่ากัน ทุกจุดในอวกาศมีการไหลของเวลาไม่เหมือนกัน หากนำมาส่องด้วยสายตาโหราศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า การที่เราถือกำเนิดในสถานที่หนึ่งและเวลาหนึ่ง หมายความว่าเรากำลังถูกจูนเข้ากับ “สนามเวลาเฉพาะ” สนามนี้ถูกกำหนดด้วยตำแหน่งของดวงดาว และความถี่เรโซแนนซ์ของจักรวาลในวินาทีนั้น
กาละในเชิงจิตวิญญาณ คือการบันทึกทั้งหมดที่เก็บอยู่ในบันทึกฟ้า (Akashic Record) เมื่อเราเผชิญเหตุการณ์บางอย่างที่เหมือนเคยผ่านมาแล้ว ความจริงไม่ใช่เพียงเดจาวู แต่คือการที่สนามคลื่นของกรรมหวนกลับมาทำงานอีกครั้ง เราเดินอยู่ในเวลาแบบวนเกลียว ไม่ใช่เส้นตรง เวลาเก่าและเวลาใหม่จึงบรรจบกันเป็นห้วงเดียว
โหราศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่ช่วยตีความจังหวะของกาละ หากเรามองดาวจรไม่ใช่เพียงพยากรณ์ว่า “จะเกิดอะไร” แต่เป็นการอ่านว่า “คลื่นใดหวนกลับมา” เราจะเข้าใจว่าทุกวิกฤติคือเสียงสะท้อนจากอดีตที่เรียกเราให้เรียนรู้ใหม่ด้วยความสติ ถ้าเราเปลี่ยนวิธีตอบสนอง สนามกรรมก็จะถูกเขียนใหม่ เวลาเก่าที่ผูกพันจึงคลี่คลาย เปิดทางให้อนาคตมีความเป็นไปได้ที่สดใหม่
ในแง่วิทยาศาสตร์การแพทย์ เรายังพบว่าเซลล์มนุษย์บันทึก “หน่วยความจำเวลา” ไว้ในรูปนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) การนอน การกิน การหลับตื่น ล้วนสัมพันธ์กับจังหวะเวลา หากเราฝืนจังหวะนาฬิกานี้ เราจะป่วยง่าย สิ่งนี้เปรียบเหมือนการฝืนจังหวะดวงดาว หากเราฝืนกฎแห่งเวลาและกรรม ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความตึงเครียด การอยู่กับเวลาอย่างสอดคล้องคือการฟังเพลงของจักรวาลในท่อนที่กำลังบรรเลง
เราจะเห็นว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่ได้แยกจากกันจริง แต่คือสนามเดียวที่รับรู้ต่างมิติ เราอาจมองอนาคตเป็นคลื่นที่ยังไม่ถล่มเข้ามา อดีตเป็นคลื่นที่ผ่านไปแล้ว และปัจจุบันคือจุดที่คลื่นทั้งสองมาซ้อนทับกัน ทุกการตัดสินใจในปัจจุบันคือการปล่อยคลื่นใหม่เข้าสู่อวกาศ ที่ในอนาคตจะหวนกลับมาหาเราอีกครั้ง
การเข้าใจโหราศาสตร์คือการเข้าใจจังหวะกาละ เมื่อดาวจรเข้ามุมที่สำคัญกับพื้นดวง เราอาจรู้สึกเหมือนโลกบีบคั้น แต่แท้จริงแล้วคือคลื่นที่เราเองเคยสร้างมาก่อนกำลังกลับมา เพื่อทดสอบว่าเราจะยังเล่นโน้ตเดิม หรือกล้าที่จะเล่นโน้ตใหม่ที่สูงกว่า หากเราตอบสนองด้วยสติ เราจะก้าวข้ามวงเกลียวของกาละ และค่อย ๆ สร้างคลื่นแห่งอนาคตที่งดงามกว่า
ชีวิตจึงไม่ใช่การหนีจากเวลา แต่คือการเต้นรำกับมัน ทุกมุมดาวคือจังหวะดนตรี ทุกการโคจรคือท่อนใหม่ของเพลง เมื่อเรารู้จักฟัง เราจะเข้าใจว่าแม้เวลาจะวนกลับ แต่เราสามารถสร้างเสียงใหม่บนวงคลื่นเก่าได้เสมอ
Line : @horomagick
>> https://lin.ee/E6cTL1k
หมายเหตุ:
ข้อความและรูปภาพบนเว็บไซต์นี้ ห้ามนำไปใช้ซ้ำหรือเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต