เมื่อเรามองฟ้าเหนือศีรษะ ดวงดาวที่เคลื่อนบนเส้นสุริยวิถีดูเหมือนจะเคลื่อนไปอย่างอิสระ แต่ในความเป็นจริง ดาวทุกดวงสัมพันธ์กันด้วยกฎของมุมและเรขาคณิต วงกลม 360 องศาที่โอบล้อมจักรราศีไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งเชิงดาราศาสตร์ หากคือสนามพลังงานขนาดใหญ่ที่รองรับการไหลของคลื่นทุกดวง เมื่อดาวสองดวงสร้างมุมสัมพันธ์กัน จะเกิดการสั่นพ้องของพลังงาน คล้ายเครื่องดนตรีสองชิ้นที่เล่นโน้ตเดียวกันจนเกิดการขยายเสียงร่วมกัน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงที่หูได้ยิน แต่เป็นความถี่ละเอียดที่สะท้อนเข้ามาสู่ร่างกายและจิตใจ
การสั่นพ้อง (resonance) เกิดขึ้นเมื่อคลื่นสองชุดมีความถี่ที่สัมพันธ์กัน เช่น สะพานที่สั่นตามจังหวะของลม หรือแก้วน้ำที่แตกเพราะคลื่นเสียงที่ตรงพอดี หลักการเดียวกันนี้ปรากฏในโหราศาสตร์ เมื่อดาวเคราะห์สองดวงทำมุม 0องศา 60องศา 90องศา 120องศา หรือ 180องศา คลื่นพลังของมันจะจัดเรียงเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่แน่นอน เกิดสนามพลังที่มนุษย์รับรู้ได้ผ่านสัญชาตญาณและจิตใต้สำนึก เราอาจไม่เห็นคลื่นนั้นด้วยตา แต่ชีวิตเราสะท้อนมันออกมาในรูปแบบเหตุการณ์ อารมณ์ หรือแรงบันดาลใจ
มุมกุมหรือ 0องศา คือการซ้อนทับของคลื่น เมื่อสองความถี่หลอมรวมกัน จะเกิดการขยายพลังราวกับคลื่นสองระลอกมาชนกันตรงจุดสูงสุดและต่ำสุดพร้อมกัน บางครั้งมันคือการผสานอย่างลงตัวจนเกิดศักยภาพสูง แต่บางครั้งอาจเป็นแรงกดทับจนทำให้ผู้มีดวงชะตารู้สึกว่าพลังงานภายในหนักแน่นและดึงรั้ง การตรงข้ามหรือ 180องศา กลับสร้างสนามแบบโครงสร้างสตริงที่ดึงสองขั้วให้ตึงเครียด แต่ในความตึงนั้นคือสมดุลแบบไดนามิก คล้ายเชือกที่ถูกขึงระหว่างสองเสา ซึ่งสามารถสร้างเสียงดนตรีได้ก็ต่อเมื่อมันตึงพอดี
เมื่อเป็นมุมฉาก 90องศา คลื่นจะตัดกันในรูปแบบที่ทำให้เกิดแรงเสียดทานสูงสุด ร่างกายและจิตใจจึงรู้สึกถึงความท้าทายและความขัดแย้ง แต่ในทางพลังงาน นี่คือการบังคับให้ระบบสั่นสะเทือนต้องหาหนทางปรับตัว มุมฉากจึงทำให้ชีวิตต้องขยับ ต้องเปลี่ยน ไม่อาจหยุดนิ่ง ขณะที่มุมตรีโกณ 120องศา คือการวางตัวของคลื่นในอัตราส่วนที่สมดุลกันโดยสมบูรณ์ สนามพลังที่เกิดขึ้นจึงไหลลื่นเหมือนน้ำที่เคลื่อนไปตามร่องหินโดยไม่ติดขัด
มองลึกลงไปในมุมรอง เช่น 150 องศา หรือQuincunx เราจะพบการสั่นพ้องที่ไม่เสถียร คลื่นดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนที่กระตุ้นให้จิตต้องปรับตัวลึก ๆ จึงไม่น่าแปลกที่มุมสัมพันธ์เหล่านี้มักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตวิญญาณ เป็นแรงดันเงียบ ๆ ที่บังคับให้เราเผชิญกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของจิตใต้สำนึก
ร่างกายมนุษย์คือสนามน้ำและไฟฟ้า – แม่เหล็กที่ตอบสนองต่อคลื่นอยู่ตลอดเวลา น้ำในเซลล์เรียงตัวตามแรงดึงดูดไฟฟ้า จังหวะหัวใจและคลื่นสมองก็มีความถี่เฉพาะตัว เมื่อดาวเคราะห์ทำมุมสัมพันธ์ คลื่นความถี่ในระดับจักรวาลอาจเหนี่ยวนำให้ระบบพลังงานในร่างกายขยับคล้อยตาม เปรียบเสมือนการปรับจูนเครื่องดนตรีให้เข้ากับวงออเคสตราทั้งวง ผลคือมนุษย์ไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ภายนอก แต่ยังเกิดการปรับสมดุลภายในอย่างลึกซึ้ง
มุมสัมพันธ์คือภาษาของจักรวาลที่บอกเราว่า พลังงานกำลังพยายามร้องเพลงบทใดให้เราฟัง มันอาจเป็นบทเพลงแห่งความกลมกลืน ความท้าทาย หรือการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกมุมคือการเชื้อเชิญให้เราร่วมวงดนตรีจักรวาลนั้นด้วยตัวตนของเราเอง การเรียนรู้ที่จะตีความมุมสัมพันธ์จึงไม่ใช่เพียงการคำนวณองศา หากคือการฟังเสียงสั่นสะเทือนของจักรวาลและหาว่าเราจะเต้นไปกับมันอย่างไร
มุมสัมพันธ์ไม่ควรถูกมองว่าเป็นโชคชะตาที่ถูกบังคับ แต่คือบทเรียนของการสั่นพ้อง มันคือแรงสั่นสะเทือนที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจตนเองและบทบาทของเราภายในสนามพลังที่ใหญ่กว่าตัวตนเล็ก ๆ ของเรา ทุกครั้งที่เรามองขึ้นไปบนฟ้าและเห็นดาวเรียงตัวเป็นมุม นั่นคือช่วงเวลาแห่งการปรับจูนใหม่ระหว่างหัวใจมนุษย์กับจังหวะของจักรวาล
Line : @horomagick
>> https://lin.ee/E6cTL1k
หมายเหตุ:
ข้อความและรูปภาพบนเว็บไซต์นี้ ห้ามนำไปใช้ซ้ำหรือเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต